การแพทย์ที่มีความสำคัญต่อทุกคนและทุกช่วงวัย เพราะจากอดีตถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงการรักษาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดแบบ Robotic หรือการทำเลสิกแบบการยิงเลเซอร์แทนการผ่าตัด เป็นต้น
และการที่จะให้บริการคนไข้มีความสะดวกและแม่นยำ โดยการนำเทคโนโลยีอย่าง Blockchain และ NFT เข้ามาช่วยในการแพทย์มากขึ้นก็อาจจะเป็นผลต่อบุคลากรทางการแพทย์และคนที่เข้ามาการรักษา เพราะข้อมูลการรักษาก่อนหน้าเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยคนไข้ ซึ่งตอนนี้ก็มีบริษัทต่าง ๆ ที่กระโดดเข้ามาช่วยในเรื่อง Fitness and Health Data
Aimedis
เป็นบริษัทในประเทศเนเธอแลนด์และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตที่ให้บริการครอบคลุมการให้บริการด้านสุขภาพยุคใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับผู้ป่วยโดยตรง (B2C) และผู้ให้บริการอื่น ๆ (B2B) เช่น แพทย์ โรงพยาบาล และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ที่จะมีทั้ง NFT Marketplace (Aimedis Dataxchange) ของ Aimedis เป็นตลาดทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์แห่งแรกของโลก ที่นำ Aimedis NFTs มาใช้ในเรื่อง Medical Data และ Scientific Data รวมไปถึงสามารถที่จะติดตามผลบนบล็อกเชนและมีการรักษาของความเป็นส่วนตัวได้เป็นอย่างดี
RightsHash
RightsHash คือ Decencentralized Software Engine โดยใช้ Hedera Hashgraph Non-Fungible Tokens (NFTs) เพื่อใช้แทนและจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ รวมไปถึงสิทธิ์และการป้องกัน ซึ่ง RightsHash ได้นำมาใช้ในเชิงการแพทย์
โดยสามารถที่จะติดตามและตรวจสอบข้อมูลข้อตกลงความยินยอมได้แบบ Real Time รวมไปถึงธุรกรรมจากที่อื่น ๆ ในแอปต่าง ๆ ได้ด้วย NFT ผ่านระบบของ RightsHash และจัดการกับข้อมูลการยินยอม (Consent) ในการเข้าร่วมในการวิจัยทางคลินิก และในขั้นตอนการวิจัยทางคลินิก (Clinical Trial) ได้ ที่มีชื่อ ‘Consent Hash’
และหากในอนาคต NFT ที่เป็น Big Data ด้านการแพทย์ประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ในมุมของคนไข้จะได้ประโยชน์อย่างไร?
แน่นอนว่า ข้อมูลการรักษาพยาบาลตลอดทั้งชีวิตจะถูกเก็บไว้ใน NFT ไม่ว่าจะไปรักษาที่ไหน ก็สามารถนำประวัติการรักษาที่มีมาแต่เดิม ไปทำการรักษาต่อได้ทุกที่ ลองจินตนาการเล่นๆ ว่า คุณในช่วงอายุ 20 ปี เป็น first jobber ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ในไทย จนเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 30 ปี คุณมีหน้าที่การงานมั่นคง และได้โอกาสไปทำงานที่ต่างประเทศ แต่ดันโชคร้าย เกิดประสบอุบัติเหตุเล็กน้อยขึ้นมา แล้วต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในประเทศนั้น เมื่อพยาบาลเข้ามาซักประวัติคุณ คุณก็ให้สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทางการแพทย์บน NFT ที่มีประวัติการรักษาในไทยไป ซึ่งมันก็อาจจะช่วยให้แพทย์และพยาบาลสามารถวางแผนการรักษาคุณได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของการใช้ NFT ในการเก็บข้อมูลทางการแพทย์ อาจจะขึ้นอยู่กับผลการต่อสู้ของสองขั้วความเห็นที่แตกต่างกันมากกว่าปัจจัยอื่นๆ ถ้าหาทางลงไม่ได้ ก็คงจบแบบวิน-วิน (Win-Win) อย่างการได้ผลลัพธ์เป็น Big Data ที่มีหน้าตาเป็นลูกผสมระหว่าง NFT กับการเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์แบบเดิมหรือเปล่า?