Bitcoin ทำได้แค่โอนหากันแถมยังช้าด้วย แต่เหตุที่ยังเป็นอันดับหนึ่ง เพราะ มีจุดแข็งทีความเป็นต้นกำเนิดแห่งนวัตกรรม, Network Effect และ Decentralization
การเป็นต้นกำเนิดของนวัตกรรมทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง มีเหรียญมากมายที่แก้ไขข้อเสียของ Bitcoin ได้ แต่ไม่ได้รับความนิยม เพราะมีการ Premine จำนวนมาก ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ
Network Effect คือ การที่ คุณค่าของสิ่งๆหนึ่งขึ้นอยู่กับ "จำนวนผู้ใช้" มากกว่าคุณสมบัติจริงๆของมัน, คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็มักจะเริ่มที่ Bitcoin คนที่ใช้อยู่แล้วก็จะใช้ต่อไป ทำให้เกิด Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ที่เห็นได้ชัดคือ ทุกๆเหรียญในเว็บเทรด ต้องมีคู่เทรดเป็น BTC ใครอยากซื้อเหรียญนั้นต้องซื้อ BTC ก่อน จนทำให้ Bitcoin กลายเป็นบรรทัดฐานของโลกดิจิทัล
การกระจายอำนาจ(Decentralize) ของ Bitcoin เริ่มต้นเมื่อ Satoshi หายตัวไป, เราทราบดีว่าเมื่อ Founder หายตัวไป เหรียญนั้นจะตายไปอย่างรวดเร็วเพราะขาดการพัฒนา แต่ Bitcoin กลับเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ใช้ขณะนั้น ทั้งๆที่มีจุดประสงค์แตกต่างกัน แต่กลับรวมตัวกันขับเคลื่อนพัฒนา Bitcoin ต่อไป ไม่มีใครบังคับให้คนเหล่านี้ถือ Bitcoin แต่เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเหรียญจริงๆต่างหาก ถึงจะทำแบบนี้ได้
นักลงทุนทุกคนคงทราบดีถึงความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล ในช่วงเวลาที่ราคาของเหรียญที่เราถือมีการผันผวนของราคาสูง บางครั้งร่วงทะลุทุกแนวรับอย่างโหดเหี้ยม จนทำให้นักลงทุนหลายคนเกิดอาการมือลั่น กดขายไปโดยไม่ทันคิดให้ดีถึงเหุตผลแรกเริ่มที่เข้ามาลงทุนในเหรียญตัวนั้นๆ ซึ่งหากมองดูภาพรวมราคาเหรียญในตลาดขาลงนั้น กลับมีบางเหรียญที่ราคามั่นคง อะไรเป็นสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ราคายืนอยู่ได้ และเราจะรู้มูลค่าที่แท้จริงที่ทำให้ราคามันแข็งแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไร
ในบทความนี้จะพูดถึง Bitcoin, สกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของตลาด, ทั้งๆที่มีฟีเจอร์การใช้งานน้อย(Lack of Feature), ประมวลผลธุรกรรมช้า, สิ้นเปลืองทรัพยากรในการยืนยันธุรกรรม(การใช้การ์ดจอขุดมันเปลืองไฟ) และข้อเสียอีกหลายๆอย่าง แต่ทำไมยังสามารถมีมูลค่ากว่า 40% ของตลาดได้อย่างยาวนาน ทั้งๆที่มีเหรียญมากมายที่สร้างขึ้นมาแก้ข้อเสียเหล่านั้น แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จและถูกลืมเลือนไป เพราะอะไร?
1. เพราะ Bitcoin คือนวัตกรรมที่แท้จริง
คุณค่าที่แท้จริงของ Bitcoin นั้น ถูกพิสูจน์ด้วยกาลเวลาที่สามารถครองอันดับ 1 ในตลาดมาได้อย่างยาวนาน ในอดีตมีเหรียญที่สร้างขึ้นใหม่โดยแก้ไขข้อเสียของ Bitcoin เช่น การประมวลผลธุรกรรมได้เร็วกว่า, การยืนยันธุรกรรมแบบอื่นที่ไม่ต้องขุด, การเพิ่ม Smart Contract, การแก้อัลกอริทึมในการขุด, การทำธุรกรรมแบบไร้ตัวตน(Privacy) การเพิ่มฟีเจอร์เพิ่มเติมเหล่านี้ถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับ Bitcoin ที่เป็น "รากฐาน" ของเทคโนโลยีกระจายอำนาจ(Decentralize) ซึ่งทำให้โลกรู้จักกับเงินตราที่ไม่ต้องมีธนาคารเป็นตัวกลาง และไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน
มีความพยายามที่จะสร้างเหรียญขึ้นมาแทนที่ Bitcoin ตั้งแต่ปี 2011, แต่ไม่มีตัวไหนเลยที่สามารถโค่น Bitcoin ได้ ไม่ว่าจะมองในแง่ของของราคา, จำนวนผู้ใช้ หรือแม้กระทั่งความปลอดภัย อันได้แก่ IxCoin, Tenebrix, Solidcoin ซึ่งมีฟีเจอร์แก้ไขข้อเสียของ Bitcoin เช่น ป้องกันการขุดด้วย GPU, ให้ค่าขุดสูงและใช้เวลาน้อย แต่เหรียญเหล่านี้ก็ยังล้ม Bitcoin ไม่ได้ เพราะมีการ Premine จำนวนมาก (Premine คือการที่กลุ่มผู้ก่อตั้งขุดเหรียญเพียงผู้เดียวก่อนที่จะมีการปล่อยซอฟต์แวร์สู่สาธารณะ) เหรียญที่กล่าวมาข้างต้นแทบจะตายจากตลาดไปแล้ว เหลือเพียง Namecoin และ Litecoin ที่สร้างขึ้นมาโดยไม่มีการ Premine
Premine คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเหรียญนั้นถูกควบคุมโดยผู้ก่อตั้ง, เหรียญที่ "มีการ Premine จำนวนมาก" จะสูญเสียความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย
จะเห็นว่าการพยายามล้ม Bitcoin ด้วยวิธีสร้างเหรียญเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆนั้นไม่ประสบความสำเร็จ และปัจจัยอื่นที่เหรียญผู้ท้าชิงไม่สามารถเลียนแบบได้ คือ จำนวนผู้ใช้ (Network Effect) และ การกระจายอำนาจ (Decentralization)
2. Network Effect
- Network Effect คือ การที่ คุณค่าของสิ่งๆหนึ่งขึ้นอยู่กับ "จำนวนผู้ใช้" มากกว่าคุณสมบัติจริงๆของมัน
ถ้าทั้งโลกมีคนใช้ Facebook, Line, Twitter etc. อยู่แค่คนเดียว เราคงไม่อยากลองใช้มันหรอก... จริงไหม
Bitcoin ได้รับผลจาก Network Effect เยอะมาก แบบทิ้งห่างคู่แข่งหลายช่วงตัว และจำนวนผู้ใช้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนที่ใช้อยู่แล้วก็จะใช้ต่อไป คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็มักจะเริ่มที่ Bitcoin เพราะเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จนเหมือนกับว่าโลกคริปโตได้สร้างสภาพแวดล้อม(Ecosystem) เอาไว้ให้ Bitcoin เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Ecosystem ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การที่ BTC เป็นคู่เทรดกับทุกๆเหรียญบนเว็บเทรดหลักๆ ทำให้ Bitcoin เป็นเหมือนทางเข้า(Gateway) ในการซื้อเหรียญอื่นๆ นักลงทุนหน้าใหม่ล้วนเริ่มต้นจากการซื้อ Bitcoin แล้วเอาไปซื้อเหรียญอื่นๆที่อยากได้อีกที สิ่งเหล่านี้เสริมสร้าง Ecosystem อันแข็งแกร่งให้ Bitcoin
ด้วยความที่มีผู้ใช้เยอะ ทำให้ Bitcoin กลายเป็น "บรรทัดฐาน" ของสกุลเงินดิจิทัลโดยปริยาย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้ใช้งานจะได้รับผลพลอยได้อื่นๆตามมา เหมือนกับเราซื้อรถยนต์เพราะหวังให้มันวิ่งบนถนนได้อย่างไร้ที่ติ ไม่ได้ต้องการให้มันบินได้ ไม่ได้จะเอาไปวิ่งบนน้ำ ผลพลอยได้ตามมาของผู้ใช้รถยนต์คือ หาที่จอดได้ง่าย(คันเล็กกว่าเครื่องบิน), บำรุงรักษาง่าย(สนใจแค่เครื่องยนต์กับโครงสร้างสำหรับวิ่งบนถนน) จะเห็นว่ารถยนต์ถึงมันจะมีฟีเจอร์น้อยเพียงแค่วิ่งบนถนน แต่สามารถทำหน้าที่ได้แบบไร้ที่ติ ฟีเจอร์อื่นๆที่เพิ่มเข้ามาให้รถทำได้หลายอย่างเลยกลายเป็นสิ่งเกินความจำเป็น
คนซื้อรถยนต์เพราะต้องการแค่ให้มันวิ่งบนถนนได้อย่างไร้ที่ติ(ทำให้เกิดความปลอดภัยตามมา), เหมือนกับ Bitcoin ทีไม่มีโค้ดเกินความจำเป็น จึงทำให้มันปลอดภัย ไร้ข้อผิดพลาด รถยนต์จึงเป็นบรรทัดฐานของเครื่องจักรที่วิ่งบนท้องถนน เฉกเช่น Bitcoin ที่เป็นบรรทัดฐานของสกุลเงินดิจิทัล
การจะเป็น "บรรทัดฐาน" ของอะไรบางอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องถูกพิสูจน์ด้วยกาลเวลาอย่างนาวนาน ต่อให้คู่แข่งทำฟีเจอร์เพิ่มเติมก็กลายเป็นส่วนเกินความจำเป็น เปรียบเทียบเหมือนกับมีผู้ผลิตรถยนต์ให้บินได้ แต่เราคงไม่อยากใช้เป็นคนแรกแน่ๆ เพราะรถยนต์น่ะ มันถูกออกแบบมาแต่แรกแล้วว่าให้วิ่งบนถนน อีกทั้งรถบินยังไม่ถูกพิสูจน์ว่าปลอดภัย ในทำนองเดียวกันกับ Bitcoin ที่ถูกพิสูจน์จากกาลเวลาที่ผ่านมาแล้วว่าปลอดภัยในการเป็นตัวเก็บมูลค่า
3. Decentralization
- Decentralization คือ การกระจายอำนาจการตัดสินใจให้กับชุมชน โดยไม่มีตัวกลาง หรือ ผู้มีอำนาจมาคอยควบคุม
คุณสมบัติสำคัญอีกประการหนึ่งของ Bitcoin คือ การกระจายอำนาจอย่างแท้จริง ในขณะที่เหรียญอื่นๆถูกควบคุมโดยผู้สร้าง(Founder) หรือองค์กร(Organization) ที่สร้างเหรียญขึ้นมาและและกุมอำนาจการตัดสินใจที่เหนือกว่ากลุ่มผู้ใช้งานจริง การที่องค์กรกุมอำนาจเบ็ดเสร็จนั้นดีต่อการทำธุรกิจ เพราะสามารถเปลี่ยนแปลง/แก้ไขเหรียญได้รวดเร็วตามความต้องการ เพื่อผลกำไรของบริษัท
เมื่อพูดถึงเงินและ Altcoin กับคุณสมบัติในการเก็บรักษามูลค่า
คือ
ต้องไม่เสื่อมสภาพ, โดยมูลค่าต้องคงเดิมหรือมากขึ้นตามกาลเวลา
โดยทั่วไป ผู้คนมักเข้าใจว่า เงิน เป็นตัวเก็บรักษามูลค่าที่ดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินถูกลดทอนมูลค่าลงตามนโยบายที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางออกมาเพื่อใช้ควบคุมเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าแย่มากๆ เพราะมันทำลายคุณสมบัติสำคัญในการเป็นตัวเก็บรักษามูลค่า แต่ไม่ใช่ว่าเงินไม่มีข้อดี ความที่เงินเป็นสื่อกลางในกลางแลกเปลี่ยน(Medium of Exchange) ที่ยอมรับกันทั่วไป และสามารถใช้เป็นตัววัดมูลค่า(Measure of Value) ที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย แต่หากว่าคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอย่างการเก็บรักษามูลค่านั้นกลับถูกควบคุมจะมีความหมายอะไร
สินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆมีแนวโน้มจะถูกควบคุม, ยิ่งเหรียญ ICO ต่างๆยิ่งเห็นชัด องค์กรที่ระดมทุน ICO และสร้างโทเคนเหล่านั้นล้วนเป็นกลุ่มคนกลาง พวกเขาสร้างเหรียญขึ้นมาและเปลี่ยนกฏให้เอื้อกับธุรกิจของตัวเองหรือแม้กระทั่งเสกโทเคนขึ้นมาเพิ่มเอาดื้อๆ พวกเขาสามารถเลือกที่จะรับ/ไม่รับเหรียญบางตัวในการระดมทุนก็ได้
Altcoin ก็มีปัญหาเดียวกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้สร้างจะทำเหมือนๆกับรัฐบาล อย่างเช่น พยายามเก็บภาษี(ภาษีนักพัฒนา, ภาษีสำหรับการเก็บข้อมูลบน ETH), อัตราเงินเฟ้อ, การเปลี่ยนแปลงกฏเพื่อช่วยเหลือบางกลุ่ม(กรณี Vitalik เลือก hard fork ETH เพื่อแก้ปัญหา The DAO ถูกแฮค, หรือการเปลี่ยนไปใช้ Proof-of-Stake) และยังมีการ Premine เหรียญกว่า 17% ของETHทั้งหมด จากการประเมินหลายๆด้าน, ETH นั้นถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้ก่อตั้ง, ETH มีการ hard fork อย่างน้อย 5 ครั้ง และทุกครั้งไม่เคยถามกลุ่มผู้ใช้งานเลย โดยเฉพาะการ Hard Fork เพื่อแก้ไขกรณี The DAO ถูกแฮคนั้นเป็นการตัดสินใจที่แย่มากๆ
สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากการตัดสินใจของกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของเหรียญ ในแง่ของผู้ถือ altcoin คุณอาจเชื่อใจเจ้าของเหรียญคนปัจจุบัน แต่เจ้าของในอนาคตล่ะ จะเชื่อได้อย่างไรว่าจะไม่พยายามควบคุมเหมือนๆกับที่รัฐบาลทำ ทำให้ Altcoin และ ICO เหล่านั้นมีคุณค่าไม่ต่างจากเงินกระดาษของรัฐบาล
แล้ว Bitcoin ล่ะ
ในตอนแรก Bitcoin เป็นของ Satoshi Nakamoto, แต่หลังจากที่เขาหายตัวไป กลับเกิดสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ใช้งาน Bitcoin ซึ่งมีจุดประสงค์ต่างกัน(บ้างต้องการเข้ามาครอบงำ, บ้างต้องการลงทุน, บ้างเพื่อหวังผลกำไรระยะสั้น, บ้างเข้ามาเพราะสนใจในเทคโนโลยี) ทุกคนกลับมีส่วนในการขับเคลื่อนระบบอย่างเท่าเทียมกัน ในทุกๆการอัปเดตหลังจากนั้นเกิดจากความสมัครใจ (เช่น การ soft fork) และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการบังคับหรือจูงใจด้วยสิ่งใดๆให้ถือ Bitcoin, อีกนัยหนึ่งคือ Bitcoin พัฒนาขึ้นโดยยังคงความ Decentralize เอาไว้ได้ ถึงแม้ สมมติว่าจะมีอุบัติเหตุที่กลุ่มนักพัฒนาหลักจะหายไปดื้อๆ มันก็ยังมีเหรียญอื่นๆที่ fork ออกไปจาก bitcoin ให้ผู้ใช้เลือกอยู่มากมาย, หากคุณถือ Bitcoin คุณคือเจ้าของมันอย่างแท้จริง
การไม่มีกลุ่มอำนาจมาควบคุมเหรียญที่คุณถือนั้นเป็นสิ่งที่ดี มันหมายความว่ามีคนต้องการ Bitcoin จริงๆเท่านั้นที่จะถือมัน และด้วยเหตุนี้ทำให้มันหาซื้อได้ยาก และมันจะไม่เปลี่ยนคุณสมบัติการเป็น "ตัวเก็บรักษามูลค่า" จนกว่าทุกๆคนที่ถือเหรียญนั้นจะเห็นชอบ
บทสรุป
ตอนนี้อาจจะเห็นว่าในตลาดมี Altcoin หลายตัวที่ market cap.(มูลค่ารวม) เริ่มชิงพื้นที่ของ Bitcoin ได้บ้างแล้ว แต่ให้นักลงทุนระวังในการใช้ market cap เพื่อตัดสินใจ เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว ตลาดเองมีปัจจัยรบกวนหลายอย่าง แต่จะเริ่มเห็นมูลค่าที่แท้จริงชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนานมากพอ
ถ้าอย่างนั้น ต้องอย่างไรถึงจะแทนที่ Bitcoin ได้? มีสองทางคือ ต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่ยิ่งใหญ่ให้ได้เท่ากับ Bitcoin หรือ เจอช่องโหว่ร้ายแรงที่ทำให้ Bitcoin ไม่ปลอดภัย (เช่น 51% Attack) การ copy โค้ดแล้วอัปเดตเล็กๆน้อยๆนั้นไม่สามารถล้ม Bitcoin ได้ ถึงแม้จะเพิ่มฟีเจอร์ใหญ่ๆอย่าง การปกปิดตัวตน(Privacy) ก็ยังไม่เพียงพอ (ไม่งั้นคนก็หนีไปใช้ Bitcoin Private:BTCP กันหมดแล้ว) เพราะ ผลของ Network Effect ได้สร้าง Ecosystem ให้กับ Bitcoin จนกลายเป็นบรรทัดฐานของโลกคริปโตเรียบร้อยแล้ว
การเป็นเหรียญที่อยู่รอดในตลาดโดยรักษาความเป็น Decentralize เอาไว้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และ Altcoin ต่างๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้อย่างไร เพราะแค่เสนอความเห็นว่าจะพัฒนาเหรียญไปแบบนั้นแบบนี้ก็กลายเป็นการใช้อำนาจแบบ Centralize ไปแล้ว อีกทั้งเป็นเรื่องยากที่ผู้สร้างเหรียญจะกระจายอำนาจออกไปให้กับผู้ใช้อย่างเป็นกลางและเหมาะสม เพราะความเป็นเจ้าของเหรียญมันเป็นแรงจูงใจในแง่ของชื่อเสียงและผลประโยชน์
ส่วน Bitcoin นั้นมีดีกว่าตรงที่มันเป็นเหรียญแรกที่สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีใหม่ จึงได้รับผลจาก Network Effect เต็มๆ และ Bitcoin อยู่รอดได้เพราะกลไกความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง, Bitcoin ปลอมแปลงไม่ได้ และไม่มีใครควบคุม Bitcoin ได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากมากๆของเงิน ในการเป็นตัวเก็บรับษามูลค่า(Store of Value) และ สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่โทเคนอื่นๆไม่มี
สำหรับนักลงทุนที่มีความหวังว่าอาจจะเจอ Altcoin เทพๆซักตัวที่จะมาแทนที่ Bitcoin ได้จริงๆนั้น ซึ่งอันที่จริงมันเป็นไปได้ยากมากหากมองดูความได้เปรียบของ Bitcoin จาก Network Effect และ Decentralization มีเหรียญเกิดใหม่นับพันที่ไม่สามารถลอกเลียนคุณสมบัตินี้จาก Bitcoin ได้ และนี่เองที่เป็นคำตอบว่า ทำไม Bitcoin จึงเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่อย่างแท้จริง
หน้ารวมบทความทั้งหมด>> คลิก!!
บทความก่อนหน้า>> รู้จัก Loom Network, โปรเจคบนบล็อคเชนที่ไม่มี Whitepaper แม้แต่หน้าเดียว
สมัครที่นี่ วิธีสมัคร Steemit
Congratulations @downplay18! You have completed the following achievement on Steemit and have been rewarded with new badge(s) :
Award for the number of upvotes received
Click on the badge to view your Board of Honor.
If you no longer want to receive notifications, reply to this comment with the word
STOP
Do not miss the last post from @steemitboard:
SteemitBoard World Cup Contest - Croatia vs England
Participate in the SteemitBoard World Cup Contest!
Collect World Cup badges and win free SBD
Support the Gold Sponsors of the contest: @good-karma and @lukestokes
Downvoting a post can decrease pending rewards and make it less visible. Common reasons:
Submit
เยี่ยมครับผม
Downvoting a post can decrease pending rewards and make it less visible. Common reasons:
Submit
ขอบคุณครับ :)
Downvoting a post can decrease pending rewards and make it less visible. Common reasons:
Submit
Congratulations @downplay18! You received a personal award!
You can view your badges on your Steem Board and compare to others on the Steem Ranking
Vote for @Steemitboard as a witness to get one more award and increased upvotes!
Downvoting a post can decrease pending rewards and make it less visible. Common reasons:
Submit