การเดินทางในของคนในนครมะนิลาแห่งนี้ต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆ นะคะ เพราะที่นี่ก็มีปัญหาการจราจรเช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆค่ะ การเดินทางของคนที่นี่มีหลายแบบค่ะ ทั้งรถไฟฟ้า, ร้านบัส, รถแท็กซี่ หรือ รถจิ๊ปนี่ย์ วันนี้ดิฉันจะเล่าเรื่องการเดินทางโดยรถจิ๊ปนีย์ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันค่ะ
รถจี๊ปนีย์ เป็นรถโดยสารประเภทเดียวกับรถสองแถวบ้านเราและเป็นเอกลักษณ์ของประเทศฟิลิปปินส์ค่ะ ภาษาอังกฤษ เรียก Jeepney ตากาล็อก เรียก Dyipni, Dyip คำว่า "จี๊ปนีย์" เกิดจากการสมาสคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ คือ "จี๊ป" (Jeep) กับ "นีย์" (Knee) ที่หมายถึง "หัวเข่า" เนื่องจากรถจี๊ปนีย์ในสมัยก่อนจะมีผู้โดยสารนั่งกันแออัดจนหัวเข่าชนหัวเข่าค่ะ
รถจี๊ปนีย์ กำเนิดมาจากการที่ทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ได้ยึดเอาฟิลิปปินส์เป็นฐานที่มั่นและชัยภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อสงครามยุติลงในปี ค.ศ. 1945 ก็ได้ทิ้งรถจี๊ปซึ่งเป็นพาหนะสำคัญที่ใช้ไว้เป็นจำนวนมาก จึงมีผู้นำมาดัดแปลงเป็นรถโดยสาร
ความแตกต่างระหว่างรถจี๊ปนีย์กับรถสองแถวบ้านเรานั้นอยู่ตรงที่ รถจี๊ปนีย์จะมีความแคบและลึกกว่าเยอะ สามารถจุคนได้เยอะกว่าด้วย สเน่ห์อย่างนึงของจี๊ปนีย์ คือ สไตล์ของรถจี๊ปนีย์ที่แตกต่างกันไป มีตั้งแต่แบบเรียบง่าย สีล้วน สบายตา แบบประมาณสิบล้อบ้านเรา สีสันฉูดฉาดเต็มพลัง จัดไฟเต็มล้อมรอบหน้ารถเหมือนอยู่ในผับ ประมาณว่าต่อให้อยู่ห่าง 4-5 กิโลเมตรก็เห็นรถแน่นอน
ด้านในรถนี่ ถ้าขึ้นตอนคนเยอะๆเข่ามันก็จะเบียดกันนิดๆ คนตัวสูงอาจจะลำบากในการย่อและก้มหัวสักหน่อยเพราะเพดานมันเตี้ยมาก ยืนไม่ได้นะคะ เวลาจ่ายตังค์ค่าโดยสารใช้วิธีการส่งเงินต่อๆกันไปค่ะ จะมาทำอิดออดไม่ส่งเงินต่อไม่ได้นะคะ ขึ้นไปคันเดียวกันต้องรู้หน้าที่ค่ะ อ่อ ต้องบอกคนขับด้วยนะคะว่า “บายัดโปะ” หรือถ้าแปลเป็นไทย ก็ประมาณว่า จ่ายตังค์หน่อยค่ะ นั่นเองค่ะ
การขึ้น-ลงรถจี๊ปนีย์ไม่มีป้ายที่แน่นอนตายตัวเหมือนป้ายรถโดยสารประจำทาง ผู้โดยสารต้องการจะขึ้นหรือลงตรงไหนก็ได้ ซึ่งผู้ขับต้องมีทักษะเฉพาะในการขับและจดจำค่าโดยสารของผู้โดยสารแต่ละคนเป็นอย่างดี ผู้โดยสายต้องมีทักษะในการลงรถนะคะ เพราะบางทีจอดกลางถนนเลยค่ะ เวลาเราต้องการจะลงจากรถที่บ้านเค้าก็ไม่ได้กดกริ่งแบบบ้านเรานะ เค้าใช้วิธีเอาเหรียญเคาะตามรางเหล็กให้มันดังแกร๊งๆ กริ๊งๆ เคาะเบาๆหรือตะโกนบอกธรรมดาๆ นี่คนขับไม่จอดนะคะ ต้องเคาะดังๆ แล้วต้องตะโกนบอกด้วยนะคะ ว่า "ปาระโปะ” คนขับถึงจะจอดให้ เวลาอยากให้จอดละหาเหรียญไม่เจอนี่ก็ต้องมานั่งครีเอตเสียงกับเพื่อนว่าร้องแบบไหนดีให้คนขับสนใจ แต่บางคันมีกริ่งนะคะ ลักษณะเป็นแบบสายเชือกราวตากผ้า เอามาร้อยตึงๆ ตรงราวจับค่ะ เวลาจะทำให้กริ่งดัง ก็ดึงเชือกค่ะ กริ่งตรงคนขับก็จะดังค่ะ อย่าลืมบอกว่า “ปาระโปะ” ด้วยล่ะ
ข้อดีของการนั่งจี๊ปนีย์ คือ ค่าโดยสารถูกมาก ประมาณ 7-8 เปโซ ประมาณ 5 บาท ในกรุงมะนิลา เริ่มต้นที่ 4 กิโลเมตรแรก 8 เปโซ และกิโลเมตรต่อไปครึ่ง ถึง 1เปโซ ค่ะ มีเพลงฟังด้วยนะคะ เพราะบางคันเครื่องเสียงแน่นมาก นึกว่าอยู่ในผับ แล้วก็ถึงไวค่ะ ถ้าคนชอบความเร็วจะรู้สึกมันส์มาก
ส่วนข้อเสียจากที่สัมผัสได้ คือ เวลานั่งจีปนี่ย์คนขับจะให้นั่งข้างละ10 หรือ 12 ในกรณีที่รถคันนั้นยาวค่ะ และที่แน่ๆคือ 12 คนที่นั่งน่ะไม่จำกัดไซส์นะคะ นับให้ได้ข้างละ 12 คน คิดดูว่าถ้าเจอคนบิ๊กไซส์ซัก 3 คนมันจะเบียดขนาดไหน คือ แทบจะสิงกันก็ว่าได้ นั่งตอนเช้ายังไม่เท่าไหร่นะคะ ยังหอมอยู่ แต่ถ้าเลิกงานแล้วกลับบ้านนี่ล่ะ อื้อหือ! กลิ่นมาดามหอมชื่นใจ, รถบางคันขับได้น่ากลัวมาก ปาดหน้ากันไปมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ คนชอบความเร็วความตื่นเต้นไม่ควรพลาด แต่ถ้าคนที่ชอบแบบนิ่มๆ อาจจะต้องท่องพุธโธในใจเลยค่ะ ประหนึ่งชีวิตน้อยๆ แขวนอยู่บนเส้นด้าย อ่อข้อเสียอีกอย่างนึงคือ ไม่ค่อยเห็นคนขับจีปนี่ย์หล่อบอกต่อด้วยเลยค่ะ
ชาวต่างชาติเช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลีจะไม่ค่อยนั่งเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ไม่ใช่พี่ไทยค่ะ เพราะรถเมล์บ้านเรานั่งแล้วก็มันส์พอๆกันเลยค่ะ เพื่อนๆ ชาว Steemit ถ้าได้มาเยือนต้องไม่พลาดนะคะ เป็นประสบการณ์ที่สนุกและตื่นเต้นแน่นอนค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ อย่าลืมติดตาม https://steemit.com/@pariyakorn กันนะคะ
Cr.wikipedia